สัมมาทิฏฐิจริงๆ คือการรู้เเจ้งอริยสัจ

สัมมาทิฏฐิจริงๆ คือการรู้เเจ้งอริยสัจ
สัมมาทิฏฐิ คือ ความรู้หรือความเห็นอันถูกต้องหรือทิฏฐิอันถูกต้อง ทิฏฐิอะไรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าถูกต้อง ความรู้อันใดคือความรู้ในทุกข์ ในเหตุให้เกิดทุกข์ ในความดับเเห่งทุกข์ ในทางดำเนินให้ถึงความดับเเห่งทุกข์ ๔ ข้อนี่คืออะไรครับ อริยสัจ ๔ เเสดงว่าผู้เกิดสัมมาทิฏฐิคือผู้ที่เข้าถึงอริยสัจหรือรู้เเจ้งอริยสัจขึ้นมาเราจึงเรียกผู้นั้นเกิดสัมมาทิฏฐิ
พูดอย่างนี้เรารู้สึกว่าเรารู้ทุกข์ไหมครับ เราว่าเรารู้ทุกข์นะ เเต่เเน่ใจหรือป่าว ว่าเรารู้ทุกข์หรือเราเป็นทุกข์ ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ คำว่ารู้ทุกข์หรือคำว่าทุกข์เนี่ยมีหลายระดับเหลือเกินตามความเข้าใจของผู้ที่เข้าถึงอริยสัจ ในคนทั่วไปทุกข์เป็นเพียงความรู้สึกเป็นทุกข์ เเต่ถ้าผู้ที่เข้าถึงอริยสัจจะรู้เลยว่าทุกข์คือ อุปาทานขันธ์ ๕
เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้จักตัวขันธ์ ๕ ซึ่งมันเป็นทุกข์โดยสภาพ เราก็จะรู้สึกว่าความทุกข์ที่พูดถึงที่พระพุทธเจ้าพูดถึงคือความรู้สึกเป็นทุกข์ ถ้าเกิดความสุขก็เป็นความสุข ถ้าเกิดความทุกข์ก็เป็นความทุกข์ เราไม่ได้เห็นทุกข์หรอกเราเป็นทุกข์ มันเป็นเเค่ความรู้สึกของคนคนนั้นเอง ซึ่งเป็นผลซึ่งเป็นเวทนาเฉยๆ เป็นอาการ
ดังนั้นความรู้อันใดเป็นความรู้ในทุกข์ สมมติว่าท่านกำลังเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าเห็นเสื้อผ้าสวยๆ ในกระบะ SALE! เกิดความอยากได้ ท่านมีความรู้สึกเลยว่าถ้าได้เสื้อตัวนั้นฉันจะมีความสุข ถ้าไม่ได้ฉันจะมีความทุกข์ เเต่ถ้าผู้ถึงอริยสัจ ทั้นทีที่เกิดความอยากเมื่อภาพนั้นกระทบตาเกิดความอยาก ทุกข์เกิดเเล้ว ทุกข์คือตัณหาบีบคั้นเกิดเเล้ว ไม่ใช่รอให้ไม่ได้ถึงจะทุกข์ เเต่ทั้นทีที่อยากทุกข์เเล้ว
งั้นเเปลว่าผู้ถึงอริยสัจคงไม่ต้องซื้อของมั้งเพราะมันมีตัณหา อย่างนี้เเปลว่าไม่ต้องซื้อของ? เปล่า! ถ้าใช้ซื้อ ถ้าใช้ต่อให้มีตัณหาก็ยังซื้อเพราะของต้องใช้ เเต่มีเงื่อนไขต้องมีเงิน ถ้าไม่มีเงินจะไปซื้อทำไม เเต่วันนี้พอไม่มีเงินก็ไปบีบคั้นให้ตัวเองซื้อจึงเกิดการเป็นหนี้เป็นสินมากมายโดนกระชากไปตามอำนาจของตัณหา
เพราะเราไม่ได้รู้อริยสัจจริงๆ หรอก เราเป็นทุกข์เราไม่ได้รู้ทุกข์ ทีนี้ถ้ายังไม่รู้ทุกข์ จะไปเห็นเหตุให้เกิดทุกข์คงเป็นไปได้ละ ได้เเต่ฟังๆ เอา เรื่องนิโรธกับมรรคไม่ต้องพูดเพราะว่าในเบื้องต้น ถ้าไม่เห็นทุกข์ไม่รู้ทุกข์ นิโรธกับมรรคคงยังไม่เกิดเเน่ มีเเต่สายเกิดทุกข์ไม่มีสายดับทุกข์
ดังนั้นสัมมาทิฏฐิจริงๆ คือการรู้เเจ้งอริยสัจ
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ธรรมบรรยายในหลักสูตร มัคคานุคา ก-ฮ
สามารถดาวโหลดคลิปเสียงคอร์สนี้ฟังได้ที่นี่
https://makkanuka.wordpress.com/2015/02/17/makkanuka-a-z/

เจ้ากรรมนายเวรก็คืออวิชชานั้นเอง

เจ้ากรรมนายเวรก็คืออวิชชานั้นเอง
หากในหลักสูตรนี้มีใครสักคนรับประทานอาหารเช้าพรุ่งนี้เเล้วชักตาตั้ง! น้ำลายฟูมปากดิ้นพราดๆ ตกเก้าอี้ลงไปเลย คนข้างๆ ช่วยกันประคองเเล้วก็เรียกหมอ มีใครเป็นหมอๆ มาช่วยดูหน่อย! สักพักน้ำลายฟูมปากเลือดไหลออกจมูกออกหูออกตาเเล้วขาดใจตาย! ผู้คนจะตกใจมาก ซวยจริงๆ คนนั้นเป็นทุกข์ตาตั้งขึ้นมาเลย (โอ๊ย! ช่วยผมด้วย ผมหายใจไม่ออก ทนทรมานมากเเล้วก็ตายเลย) คนเเถวนั้นบอกว่าไปทำกรรมอะไรมาเนี่ย! ตายในศูนย์ปฏิบัติธรรมเลย เจ้ากรรมนายเวรเเรงจริงๆ
ถ้ามาบอกผม ผมจะบอกว่าโชคดีเเล้วที่ตายในศูนย์ปฏิบัติธรรม พักเหตุการณ์นี้ไว้ก่อน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปที่บ้านนายจุนทะ เสวยสูกรมัททวะ หลังจากนั้นให้ฝังดินให้หมด จากนั้นท่านเริ่มอาพาธหนัก อาหารเป็นพิษ ทุกอย่างกระบวนการเหมือนกันเลย จนกระทั่งดับขันธปรินิพพาน สองเหตุการณ์นี้เหมือนกันถ้าจะบอกว่ารับวิบากเหมือนกัน ความต่างกันอยู่ตรงไหน
ผู้ชายคนที่ชักตาตั้งที่นี้ทุกข์มากกับวิบากที่เกิดขึ้น เเต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ทุกข์กับมันเลย
เพราะฉะนั้นอะไรล่ะเป็นเหตุที่ต่างกัน เมื่อท่านเข้าใจวิบากทั้งหลายเกิดขึ้นที่ขันธ์ เเต่หากยังโง่มีอวิชชาไปยึดขันธ์มาเป็นของเราจึงทุกข์ใจ ใจจึงเป็นทุกข์เเล้วก็สร้างเหตุเกิดต่อไปเรื่อยๆ เเล้วก็พบกับการเกิดทุกคราว เป็นทุกข์ร่ำไป
หากเจ้ากรรมนายเวรที่เราพูดถึงคือคนที่ทำให้เราทุกข์ เราพูดถึงผู้ชายคนที่กินข้าวเเล้วชักตาตั้ง เขาคงมีเจ้ากรรมนายเวรมาตามจองล้างจองผลาญ ผมว่าไม่ใช่
วิบากเกิดที่ขันธ์ คนที่ทำให้เขาทุกข์คือจิตโง่ที่ไปยึดร่างกายนี้เป็นของเรา ไปยึดขันธ์มาเป็นของเราก็เลยทุกข์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีอุปาทานในขันธ์ ไม่ได้ยึดขันธ์นี้เป็นของเรา ท่านถึงที่สุดไปเเล้ว เเล้วจะทุกข์กับมันได้ยังไง ถ้าจะบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรในสองเหตุการณ์นี้คนหนึ่งทุกข์ พระองค์ไม่ทุกข์
เจ้ากรรมนายเวรก็คืออวิชชานั้นแหละ ที่โง่ไปดึงมาเป็นของเราเอง ถ้าไม่ยึดมันจะไปทุกข์ได้ยังไง
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ส่วนหนึ่งจากธรรมบรรยาย ในคอร์สปฏิบัติธรรม มัคคานุคาเบื้องต้น

(การ์ดคำสอน) โลกนี้มีแค่ขณะเดียว ตอนนี้

คลิกฟังธรรมบรรยายนี้ ได้ที่คลิปนี้
https://www.youtube.com/watch?v=1Wmomc0Du2U
โลกนี้สำหรับทุกคนมีอยู่แค่ขณะตรงหน้าเท่านั้นเอง อดีตอยู่ที่ไหนครับ อยู่ในใจ ที่สร้างขึ้นมาเอง แล้วก็ทุกข์เอง อนาคตก็อยู่ในใจ แล้วก็ทุกข์เอง สร้างเอง กังวลเอง
โลกนี้มีอยู่แค่นี้วินาทีตรงหน้า วินาทีอื่นไม่เคยมี ไม่เคยมีอยู่จริง ท่านจะมีทีละขณะ ทีละขณะ
ถ้าผมบอกว่าเราจะบรรยายกันจนถึงห้าโมงเย็น ตอนนี้ห้าโมงเย็นอยู่ไหน ดูเหมือนกับว่าอยู่ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ถ้าห้าโมงเย็นมาถึงจริงๆ มันจะคือตอนไหน
ตอนนี้
ตอนที่ผมปล่อย(พัก)เมื่อซักครู่ประมาณบ่ายสามโมงยี่สิบนาที แล้วก็บอกว่าให้ทุกคนเข้ามาเจอกันอีกครั้งตอนสี่โมง เหมือนกับสี่โมงอยู่ในอนาคต แต่พอสี่โมงมาถึงจริงๆ ทุกคนเข้ามานั่ง
ผมอยู่ตรงนี้
สี่โมงคือตอนไหนครับ
ตอนนั้น
ก็คือตอนนี้ของตอนนั้น
ตอนนี้ ก็คือตอนนี้
ถ้าห้าโมงเย็นมาถึงมันก็จะคือตอนนี้ ของตอนนั้น
ทุกขณะในชีวิตของเรามีอยู่แค่ตรงหน้า ทุกข์ที่เกิดขึ้นมาได้เพราะเราคิดเอาเอง อดีตที่ไม่ยอมลืมเพราะมันอยู่ในใจ แล้วเราก็ปรุงแต่งสร้างมันขึ้นมา มันไม่เคยมีอยู่จริง เราเอาซากของที่ไม่มีจริงมานั่งปรุงแต่งกันเอง
ถ้าผมบอกว่า ความจริงอยู่ที่โน่น ความคิดอยู่ที่นี่ ความทุกข์อยู่ที่นี่
ความจริงกับความทุกข์อยู่กันคนละที่
แต่เราเลือกที่จะอยู่ในความทุกข์ คือความคิดปรุงแต่ง มันเหมือนเราอยู่ในห้องมืด ห้องสี่เหลี่ยม มืดๆ พอเราออกไปเจอความจริง เราหยุดคิด เราออกมาพบกับความจริง แต่เดี๋ยวแป๊ปเดียวเราก็จะเปิดประตูแล้วเข้าไปอยู่ในห้องมืด แล้วก็ปิด แล้วก็เข้ามาอยู่ในความคิดของตัวเอง
เห็นภาพไหมครับ
พอท่านรู้ลมหายใจ การกระทบมีอยู่จริงๆ ท่านเปิดประตูออกจากห้องมืด มานั่งอยู่ในห้องจริงได้แป๊ปหนึ่ง ท่านไม่คุ้น ท่านเปิดประตูแล้วก็กลับไปอยู่ในห้องมืด ไปอยู่ในความคิดใหม่
ถ้าท่านไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง หัวกระเซอะกระเซิง กำลังคุ้ยเขี่ยขยะกิน ท่านมองดู “..อืม..คนบ้า..”
เขาก็นั่งกินของที่อยู่ในถังขยะ แล้วเขาก็ยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข กินอยู่ดีๆ เดี๋ยวเขาก็ค่อยๆ เศร้า น้ำตาไหลออกมา แล้วก็ร้องไห้ เดี๋ยวๆ ก็หัวเราะเอ๊กอ๊ากๆ เดินยิ้มแย้มแจ่มใส เดี๋ยวก็หน้าเศร้าทุกข์ลงไป เราบอกว่า เขาบ้า
ช่วยนิยามคำว่าบ้า หรือคนบ้าหน่อย พวกนี้มันหลงอยู่ในคิด ไม่สามารถออกมาอยู่โลกความจริงได้ เราเรียกเขาว่า คนบ้า
แล้วเราบ้าหรือดี
เราเคยออกจากคิดเราบ้างหรือเปล่า เดี๋ยวเราก็หัวเราะ ถ้าขายอะไรได้เยอะหน่อย เดี๋ยวก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว ขายได้กำไร นั่งบ้าอยู่คนเดียว นั่งยิ้มบ้าอยู่คนเดียว วันไหนขายไม่ดีวันไหนโดนโกง นั่งเศร้า มีคนมาชวนกินข้าว “…ไม่เอาล่ะ กินไม่ลง ถูกโกง…”
นั่งจมอยู่ในคิด หลงเข้าไปในโลกมืด สร้างภพของอสุรกาย ของอะไรต่ออะไร ปิดประตูขังตัวเองเอาไว้ข้างใน มืดๆ
พระอรหันต์เป็นผู้มีสติสมบูรณ์ แสดงว่าท่านอยู่บนความจริง ส่วนคนในโลกอยู่ในห้องมืด ทีนี้พอค่อยๆ ให้ขยับออกมาจากห้องมืด ไม่คุ้น เหมือนนางอาย ออกมาได้แป๊ปหนึ่งต้องวิ่งกลับเข้าไปในห้องมืดใหม่ แล้วก็หลงอยู่ในคิด ในโลกมืดของตัวเอง ที่สร้างกรอบความคิดเอาไว้
ค่อยๆ เห็นความจริงอย่างนี้นะครับ ออกมาจากคิด เพราะทันทีที่ท่านคิด ท่านก็จะหลง
กี่โมงแล้วล่ะ?
เวลาที่เราพูดถึงผ่านกันไปเรื่อยๆ แล้วเชื่อไหมว่าเมื่อท่านตัดเวลาที่เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วเพราะไม่มีอยู่จริง ตัดอนาคตที่ยังมาไม่ถึงซึ่งก็ไม่มีอยู่จริง มันจะเหลือขณะเดียวตอนนี้
ที่บ้านใครมีลูก ใครมีพ่อแม่ ใครมีคนรัก สามี ภรรยาอยู่ที่บ้าน อยู่ที่บ้านหรืออยู่ในใจ ลองถามตัวเอง
ถ้าอยู่ที่บ้านคงไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาแต่ละคนก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง กำลังใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ปัญหาคือเราเอาพวกเขามาไว้ในใจนี่แหละ แล้วก็ปรุงแต่งปั้นแต่งมันขึ้นมา เป็นสุขเป็นทุกข์เข้าไปเรื่อยๆ
โลกนี้มีอยู่วินาทีเดียว เอาเป็นวินาทีก่อน ให้เข้าใจตรงนี้ให้ได้ เพราะฉะนั้นจะได้เข้าใจว่า ที่หลงไปสุขหลงไปทุกข์กับอดีตกับอนาคต คือของที่ไม่ได้มีอยู่จริง
ถ้าใครสูญเสียคนรักน่ะ จบไปแล้ว ใครเคยสูญเสียของที่ตัวเองทุกข์เศร้า มันผ่านไปหมดแล้ว
แต่ทำไมมันยังทุกข์อยู่ เพราะไปดึงเรื่องนั้นกลับเข้ามา แล้วก็โลมเลียอยู่ในห้องมืด ออกมาพบความจริงก็เห็นหมดแล้ว มันมีอยู่แค่นี้
ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ตรงนี้มีอะไรที่ไหนล่ะ
มีอยู่แค่นี้
แล้วก็จะมีอยู่อย่างนี้ มีอยู่แค่นี้
ถ้า Trim (ตัด) สิ่งที่ไม่มีอยู่ออกจริง มันจะเหลืออยู่แค่นี้ อดีตเอาออก อนาคตเอาออก มันจะเหลือแค่นี้ ท่านจะมีอย่างนี้ไปจนกายแตกทำลาย จนถึงวินาทีที่เราตาย ความตายจะคือตอนนี้ของทุกคน
ตอนนี้พร้อมจะตายหรือยังครับ ไม่?
เพราะฉะนั้น เมื่อความตายมาถึง มันคือตอนนี้
ไม่ใช่อนาคต
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม

ธรรมบรรยายในหลักสูตร มัคคานุคา ก-ฮ
จัดโดยโรงพยาบาลสมุทรปราการ ร่วมกับชมรมกัลยาณธรร­ม
วันที่ 18-20 กรกฎาคม 2558

สามารถชมธรรมบรรยายคอร์สปฏิบัติธรรมนี้ ฉบับ­เต็มได้ที่
https://youtu.be/l3o2tYne1W8?list=PLUOUA1xCYlav51Mbp2muB0kq7Gk49-udl

วันไหนที่พ้นจากความเป็นทาสของอวิชชา ค่อยประกาศตัวว่าข้าเป็นอิสระ

วันไหนที่พ้นจากความเป็นทาสของอวิชชา ค่อยประกาศตัวว่าข้าเป็นอิสระ
วันนี้อย่ามาประกาศตัวว่าเป็นความสุขซะให้ยาก เพราะว่าตราบใดที่เรายังเป็นทาสอะไรอยู่ เราจะมาบอกตัวว่าเป็นความสุขได้ยังไงโดนมันจิกหัวบงการใช้
สมัยก่อน ก่อนที่ผมจะบวชผมก็คิดว่าฆราวาสนี่อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากไปไหนก็ได้ไป ฆราวาสมีชีวิตที่อิสระ พระไม่อิสระเลย อยากไปไหนก็ไม่ได้ไป อยากทำอะไรก็ไม่ได้ทำ อยากจะฉัน(กิน)อะไรก็ไม่ได้ฉันเเล้ว เเต่เขาจะจัดมาให้ เเล้วเเต่เขาจะใส่บาตรมาให้ ผมมีความรู้สึกว่าพระไม่อิสระเลย จนกระทั่งผมเข้าไปบวชผมถึงรู้เลยว่าเราคิดผิดล่ะ
พระเป็นอิสระ ฆราวาสไม่อิสระเลย ที่เราบอกว่าอยากกินอะไรก็ได้กิน เราต้องเติมไปอีกคำหนึ่ง เราลืมเติมไปว่า “ลองไม่ได้กินสิ เเล้วมันจะดิ้นให้ดู” อยากไปไหนก็ได้ไปเราบอกว่าเราเป็นอิสระ “ลองไม่ได้ไปสิ ดูซิจะหน้าหงิกหน้างอไหม” อยากเป็นอะไรก็ได้เป็น “ลองไม่ได้เป็นสิ” ไม่ว่าจะตำเเหน่งไหนๆไล่ตั้งแต่ผู้ช่วยจนถึงรัฐมนตรี ลองไม่ได้เป็นดั่งใจสิ เห็นยิงกันมาเยอะแล้ว
นี่นะอิสระ?
ตราบใดที่ยังเป็นทาสให้ธรรมชาติ ธรรมชาติหนึ่งจิกหัวบงการสั่งได้ตลอดเวลา อย่ามาประกาศตัวว่าตัวเองเป็นอิสระ ทาสไม่มีสิทธิประการตัว วันไหนที่พ้นจากความเป็นทาสของอวิชชาค่อยประกาศตัวว่าข้าเป็นอิสระ วันที่ข้างในโพล่!ขึ้นมาประกาศตัวว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ต้องทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก” วันนั้นค่อยประกาศตัวว่าเราเป็นอิสระ
เพราะฉะนั้นเส้นทางที่จะเดินไปสู่การประกาศอิสรภาพจริงๆ
อาศัยมรรคมีองค์แปด
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ส่วนหนึ่งจากธรรมบรรยายในคอร์สปฏิบัติธรรม มัคคานุคาเบื้องต้น

ไม่มีอะไรเลย

พระครูวินัยธรทรงศักดิ์ (หลวงพ่อเอี้ยน)
มาที่นี่ มาเห็นทะเล มาเห็นคลื่น เห็นโน่นเห็นนี่
ไม่มีอะไรที่เป็นของกูเลย น้ำก็ไม่ใช่ของกู ทะเลก็ไม่ใช่ของกู
สถานที่นี้ก็ไม่ใช่ของกู

น้ำนี่คือธรรมชาติ ทะเลคือธรรมชาติ
ธรรมชาติก็ไม่ได้หยุดนิ่ง

มันก็เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน

คลื่นลูกนี้กระทบฝั่ง ลูกนี้กระทบฝั่ง
จบ มีอะไร

มันมีแต่เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ
มันไม่มีตัวตนอยู่
คลื่นน่ะมันเกิดขึ้นมาจากน้ำ
เกิดขึ้นมาจากลมที่ลมมันพัด

น้ำของจริงไหม เป็นของจริงไหม
ไม่ใช่ของจริง น้ำระเหยเป็นไอ
ไอก็เป็นเมฆ เมฆก็เป็นฝน
ฝนก็เป็นน้ำ
วนเวียนอยู่อย่างนี้

นี่คือภาพมายา
มีแต่มายาทั้งนั้น

หลวงพ่อเอี้ยน วิโนทโก (พระวิปัสสนาจารย์)
ธรรมเทศนา สวนยินดีทะเล
๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘

สามารถศึกษาธรรมะข้อธรรมจาก หลวงพ่อเอี้ยน เพิ่มเติมได้ที่
http://www.santibunpot.com/