จงเป็นกำลังใจให้กับลูกในวันที่พ่ายแพ้

จงเป็นกำลังใจให้กับลูกในวันที่พ่ายแพ้
วันหนึ่งมัดหมี่เด็กหญิงวัย 12 ขวบ มัดหมี่เป็นเด็กร่าเริงเเจ่มใสไปโรงเรียนตามปกติในตอนเช้า เเต่เย็นวันนั้น มัดหมี่เดินลงจากรถโรงเรียนด้วยสีหน้ากังวลใจ เต็มไปด้วยความทุกข์
มัดหมี่เดินเข้าบ้านไม่พูดไม่จาอะไร เนื่องจากในใจประหวั่นพรั่นพรึงว่าจะต้องถูกดุหรืออาจถูตีเเน่ ๆ มัดหมี่นั่งลงที่โซฟา โดยกำลังคิดว่าจะเริ่มต้นพูดกับพ่ออย่างไรดี มัดหมี่เอามือล้วงลงไปในกระเป๋าเเละหยิบผลการสอบออกมาช้า ๆ อย่างลังเล มองหน้าพ่อเเล้วส่งให้ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “พ่อ…หนูสอบตก 2 วิชา”
สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นกลับตาลปัตร เเทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุมัดหมี่หรือเเม้เเต่ตำหนิความไม่ใส่ใจในการเรียน พ่อกลับนั่งลงยิ้มที่มุมปากเเล้วถามมัดหมี่ว่า “ทุกข์ไหมลูก”
มัดหมี่มองหน้าพ่อเเล้วพยักหน้า
พ่อจึงอ้าเเขนออก มัดหมี่เดินเข้ามาหาเเล้วกอดกันเเน่น
พ่อจึงพูดต่อไปว่า “พ่อไม่ต้องพูดอะไรใช่ไหม?”
มัดหมี่ตอบว่า “ไม่ต้องค่ะ” (ทั้งสองรู้ความกันดีกว่า หมายถึงพ่อคงไม่ต้องดุใช่ไหม) พ่อเห็นเเล้วว่าทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นกับมัดหมี่ยิ่งกว่าการดุเสียอีก
“อย่าทุกข์ไปเลยลูกไม่คุ้มกันเลย เรื่องมันผ่านไปเเล้ว หนูคงรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไรต่อไป”
จากวันนั้นมัดหมี่เริ่มดูแลตัวเองมากขึ้นจากนั้น มัดหมี่สอบได้ที่สองติดกันสองครั้งได้คะเเนนห่างที่หนึ่งเพียง 1 คะแนน เเละสุดท้ายขึ้นมาเป็นที่ 1 ของห้องอย่างภาคภูมิใจ
นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ?
อะไรกันเเน่ที่มีค่าต่อชีวิตยามที่กำลังทุกข์ กำลังใจหรือคำด่าทอ?
เวลาเราอ่านเรื่อง มันเหมือนกับว่าเราได้อ่านนิยายเรื่องหนึ่ง
เเต่ผมอยากจะย้อนกลับไปให้ท่านลองคิดว่าถ้าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นที่บ้านของท่าน กับลูกของท่านจริง ๆ หรือกับใครก็ตามที่ท่านรักเเล้วเขาสอบตกจริง ๆ ตอนนั้นเหตุการณ์มันจะเป็นอย่างนี้ไหม สถานการณ์มันจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
มัดหมี่สอบตกกลับถึงบ้านคงไม่รู้ว่าจะพูดกับพ่อว่ายังไง
ตลอดเวลาตั้งแต่ได้รับใบเกรด จนนั่งรถโรงเรียน จนมาถึงบ้าน จนจะเดินเข้าบ้าน ตอนนั้นพ่อของมัดหมี่คงเห็นเเล้วว่ามัดหมี่ทุกข์มาก ใจกำลังทุกข์มาก พ่อคงเห็นเเล้วว่าลูกตกนรกมาตั้งแต่ที่โรงเรียนเเล้ว ลูกกำลังอยู่ในนรก
หลังจากมัดหมี่พูดจบพ่อจึงถามว่าทุกข์ไหมลูก เรื่องอื่นว่ากันที่หลังเลย คำถามเเรกที่พ่อเค้าถามสักเกตดูเขาถามว่าทุกข์ไหมลูก ลูกก็บอกว่าทุกข์ พ่อยังไม่ได้เริ่มต้นที่จะดุด่าว่ากล่าวอะไรทั้งสิ้น เเต่ดึงมัดหมี่เข้ามากอดเพื่อให้รู้สึกสบายใจขึ้น เรื่องอื่นเดี๋ยวคุยกันที่หลัง เอาให้สบายใจก่อน ให้มันพ้นจากนรกขึ้นมาก่อน
ถ้าท่านมีคนที่ท่านรัก เเล้วท่านเห็นคนที่ท่านรักกำลังตกอยู่ในนรก สิ่งเเรกที่ท่านควรจะทำคือดึงขึ้นมาหรือเอาเท้าถีบให้มันจมลงไป
เชื่อไหมครับว่าคนมากว่า 80% ตัดสินใจถีบซ้ำ “ถีบซ้ำลงไปก่อน” “ต้องให้มันเข็ดหลาบ” “ถีบซ้ำเเล้วก็เหยียบลงไปเลย เเล้ววันข้างหน้าเดี๋ยวมันก็ตะกายขึ้นมาเองไม่ต้องกลัว”
ผมเองเคยมี เคยหมด เคยเจ๊ง วันที่ผมล้มผมรู้เลยว่าคนเราต้องการอะไร วันที่ผมล้ม วันที่ผมสิ้นเนื้อประดาตัว ผมรู้ว่าผมทำอะไรผิด วันนั้นทุกคนที่ล้มต้องการมือที่ยื่นไปเเล้วก็ดึงขึ้นมา หรือไม่ก็ตบไหล่ ปลอบใจสักสองสามที สู้ ๆ นะจะเป็นกำลังใจให้
คนเราไม่ได้ต้องการอะไรมาก ต้องการกำลังใจในวันที่เขาล้ม
เเต่การด่าซ้ำด่าเพิ่มเติมไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ เเล้ววันหนึ่งข้างหน้าหากทำกับมัดหมี่เเบบนี้ไปเรื่อย ๆ วันที่มัดหมี่มีความทุกข์จริง ๆ พ่อกับเเม่อาจจะไม่ใช่คนเเรกที่รู้เรื่องนั้นเพราะเขาจะไม่ยอมปรึกษาเเล้วก็ไม่พูดคุยด้วยเลย เพราะวันที่เขาเจ็บปวด พ่อกับเเม่มีเเต่ซ้ำเติมไม่เคยช่วยเเก้ปัญหาใด ๆ ทำไมจะต้องเข้าไปปรึกษาด้วย ถึงตรงนี้แหละที่ว่าวจะขาดลอย เพราะว่าเขาจะปรึกษาเพื่อนซึ่งเสี่ยงมากเลยตอนนั้น ถ้าเจอเพื่อนดีก็เเล้วไป เจอเพื่อไม่ดีนี้ยุ่งกันใหญ่เลยทีนี้ พาไปเหลวไหลที่ไหน พาไปดื่มเหล้าติดยาทีนี้ไปยาวเลย
เพราะฉะนั้นความรักในครอบครัวนี้เเหละ ความรักความเห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือกันยามตกทุกข์ได้ยาก อย่างนี้แหละที่จะเป็นเกราะคุ้มกันให้ครอบครัวของเราเเข็งเเรง
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม

จากธรรมบรรยายในคอร์สปฏิบัติธรรม มัคคานุคาเบื้องต้น
https://youtu.be/IsyQp2y-m5U?list=PLDzf9cyBwgxCtDZ87zRFcFV6AE6-gmR90

จะปฏิบัติต่อพ่อเเม่อย่างไร ถึงจะเรียกได้ว่าตอบเเทนบุญคุณ

จะปฏิบัติต่อพ่อเเม่อย่างไร ถึงจะเรียกได้ว่าตอบเเทนบุญคุณ
(คำถามจากผู้เข้าคอร์สปฏิบัติธรรม)

“หากเราไม่สามารถดูแลปรนนิบัติพ่อเเม่ได้ จะมีการทำบุญหรือปฏิบัติต่อพ่อเเม่อย่างไรถึงจะเรียกได้ว่าตอบเเทนบุญคุณ”

ก็คงเเบ่งเป็น 2 กรณี ถ้าท่านเสียชีวิตไปเเล้วก็คงใช้วิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศล นั่นคือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด
เเต่ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่การอุทิศส่วนกุศลไป ก็เป็นความปรารถนาดีเจตนาดี เเต่ก็ขอให้ลงไปทำด้วย ไปเจอท่านจะดีกว่า ไปทำให้ท่านได้ชื่นอกชื่นใจน่าจะดีกว่า การเเผ่อุทิศส่วนกุศลไป ผมว่าวิธีหนึ่งถ้าจะเเผ่กันจริงๆ โทรศัพท์หรือว่าส่งข้อความหรือว่าไลน์ไปยังได้อ่านยังได้ชื่นใจเต็มที่กว่านะ ถ้าจะดีกว่านั่นก็คือไปเจอหน้า ซื้อขนมซื้ออาหารไปฝาก ไปบีบไปนวด พาไปนั่นไปนี่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพาไปอยู่ในส่วนของกุศล ทำให้ท่านได้เกิดจาคะการบริจาค ให้เกิดปัญญา พาไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมในหลักสูตรต่างๆ
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ธรรมบรรยายในหลักสูตร มัคคานุคา ก-ฮ
สามารถดาวโหลดคลิปเสียงคอร์สนี้ฟังได้ที่นี่
https://makkanuka.wordpress.com/2015/02/17/makkanuka-a-z/

(การ์ดคำสอน) โลกนี้มีแค่ขณะเดียว ตอนนี้

คลิกฟังธรรมบรรยายนี้ ได้ที่คลิปนี้
https://www.youtube.com/watch?v=1Wmomc0Du2U
โลกนี้สำหรับทุกคนมีอยู่แค่ขณะตรงหน้าเท่านั้นเอง อดีตอยู่ที่ไหนครับ อยู่ในใจ ที่สร้างขึ้นมาเอง แล้วก็ทุกข์เอง อนาคตก็อยู่ในใจ แล้วก็ทุกข์เอง สร้างเอง กังวลเอง
โลกนี้มีอยู่แค่นี้วินาทีตรงหน้า วินาทีอื่นไม่เคยมี ไม่เคยมีอยู่จริง ท่านจะมีทีละขณะ ทีละขณะ
ถ้าผมบอกว่าเราจะบรรยายกันจนถึงห้าโมงเย็น ตอนนี้ห้าโมงเย็นอยู่ไหน ดูเหมือนกับว่าอยู่ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ถ้าห้าโมงเย็นมาถึงจริงๆ มันจะคือตอนไหน
ตอนนี้
ตอนที่ผมปล่อย(พัก)เมื่อซักครู่ประมาณบ่ายสามโมงยี่สิบนาที แล้วก็บอกว่าให้ทุกคนเข้ามาเจอกันอีกครั้งตอนสี่โมง เหมือนกับสี่โมงอยู่ในอนาคต แต่พอสี่โมงมาถึงจริงๆ ทุกคนเข้ามานั่ง
ผมอยู่ตรงนี้
สี่โมงคือตอนไหนครับ
ตอนนั้น
ก็คือตอนนี้ของตอนนั้น
ตอนนี้ ก็คือตอนนี้
ถ้าห้าโมงเย็นมาถึงมันก็จะคือตอนนี้ ของตอนนั้น
ทุกขณะในชีวิตของเรามีอยู่แค่ตรงหน้า ทุกข์ที่เกิดขึ้นมาได้เพราะเราคิดเอาเอง อดีตที่ไม่ยอมลืมเพราะมันอยู่ในใจ แล้วเราก็ปรุงแต่งสร้างมันขึ้นมา มันไม่เคยมีอยู่จริง เราเอาซากของที่ไม่มีจริงมานั่งปรุงแต่งกันเอง
ถ้าผมบอกว่า ความจริงอยู่ที่โน่น ความคิดอยู่ที่นี่ ความทุกข์อยู่ที่นี่
ความจริงกับความทุกข์อยู่กันคนละที่
แต่เราเลือกที่จะอยู่ในความทุกข์ คือความคิดปรุงแต่ง มันเหมือนเราอยู่ในห้องมืด ห้องสี่เหลี่ยม มืดๆ พอเราออกไปเจอความจริง เราหยุดคิด เราออกมาพบกับความจริง แต่เดี๋ยวแป๊ปเดียวเราก็จะเปิดประตูแล้วเข้าไปอยู่ในห้องมืด แล้วก็ปิด แล้วก็เข้ามาอยู่ในความคิดของตัวเอง
เห็นภาพไหมครับ
พอท่านรู้ลมหายใจ การกระทบมีอยู่จริงๆ ท่านเปิดประตูออกจากห้องมืด มานั่งอยู่ในห้องจริงได้แป๊ปหนึ่ง ท่านไม่คุ้น ท่านเปิดประตูแล้วก็กลับไปอยู่ในห้องมืด ไปอยู่ในความคิดใหม่
ถ้าท่านไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง หัวกระเซอะกระเซิง กำลังคุ้ยเขี่ยขยะกิน ท่านมองดู “..อืม..คนบ้า..”
เขาก็นั่งกินของที่อยู่ในถังขยะ แล้วเขาก็ยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข กินอยู่ดีๆ เดี๋ยวเขาก็ค่อยๆ เศร้า น้ำตาไหลออกมา แล้วก็ร้องไห้ เดี๋ยวๆ ก็หัวเราะเอ๊กอ๊ากๆ เดินยิ้มแย้มแจ่มใส เดี๋ยวก็หน้าเศร้าทุกข์ลงไป เราบอกว่า เขาบ้า
ช่วยนิยามคำว่าบ้า หรือคนบ้าหน่อย พวกนี้มันหลงอยู่ในคิด ไม่สามารถออกมาอยู่โลกความจริงได้ เราเรียกเขาว่า คนบ้า
แล้วเราบ้าหรือดี
เราเคยออกจากคิดเราบ้างหรือเปล่า เดี๋ยวเราก็หัวเราะ ถ้าขายอะไรได้เยอะหน่อย เดี๋ยวก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว ขายได้กำไร นั่งบ้าอยู่คนเดียว นั่งยิ้มบ้าอยู่คนเดียว วันไหนขายไม่ดีวันไหนโดนโกง นั่งเศร้า มีคนมาชวนกินข้าว “…ไม่เอาล่ะ กินไม่ลง ถูกโกง…”
นั่งจมอยู่ในคิด หลงเข้าไปในโลกมืด สร้างภพของอสุรกาย ของอะไรต่ออะไร ปิดประตูขังตัวเองเอาไว้ข้างใน มืดๆ
พระอรหันต์เป็นผู้มีสติสมบูรณ์ แสดงว่าท่านอยู่บนความจริง ส่วนคนในโลกอยู่ในห้องมืด ทีนี้พอค่อยๆ ให้ขยับออกมาจากห้องมืด ไม่คุ้น เหมือนนางอาย ออกมาได้แป๊ปหนึ่งต้องวิ่งกลับเข้าไปในห้องมืดใหม่ แล้วก็หลงอยู่ในคิด ในโลกมืดของตัวเอง ที่สร้างกรอบความคิดเอาไว้
ค่อยๆ เห็นความจริงอย่างนี้นะครับ ออกมาจากคิด เพราะทันทีที่ท่านคิด ท่านก็จะหลง
กี่โมงแล้วล่ะ?
เวลาที่เราพูดถึงผ่านกันไปเรื่อยๆ แล้วเชื่อไหมว่าเมื่อท่านตัดเวลาที่เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วเพราะไม่มีอยู่จริง ตัดอนาคตที่ยังมาไม่ถึงซึ่งก็ไม่มีอยู่จริง มันจะเหลือขณะเดียวตอนนี้
ที่บ้านใครมีลูก ใครมีพ่อแม่ ใครมีคนรัก สามี ภรรยาอยู่ที่บ้าน อยู่ที่บ้านหรืออยู่ในใจ ลองถามตัวเอง
ถ้าอยู่ที่บ้านคงไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาแต่ละคนก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง กำลังใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ปัญหาคือเราเอาพวกเขามาไว้ในใจนี่แหละ แล้วก็ปรุงแต่งปั้นแต่งมันขึ้นมา เป็นสุขเป็นทุกข์เข้าไปเรื่อยๆ
โลกนี้มีอยู่วินาทีเดียว เอาเป็นวินาทีก่อน ให้เข้าใจตรงนี้ให้ได้ เพราะฉะนั้นจะได้เข้าใจว่า ที่หลงไปสุขหลงไปทุกข์กับอดีตกับอนาคต คือของที่ไม่ได้มีอยู่จริง
ถ้าใครสูญเสียคนรักน่ะ จบไปแล้ว ใครเคยสูญเสียของที่ตัวเองทุกข์เศร้า มันผ่านไปหมดแล้ว
แต่ทำไมมันยังทุกข์อยู่ เพราะไปดึงเรื่องนั้นกลับเข้ามา แล้วก็โลมเลียอยู่ในห้องมืด ออกมาพบความจริงก็เห็นหมดแล้ว มันมีอยู่แค่นี้
ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ตรงนี้มีอะไรที่ไหนล่ะ
มีอยู่แค่นี้
แล้วก็จะมีอยู่อย่างนี้ มีอยู่แค่นี้
ถ้า Trim (ตัด) สิ่งที่ไม่มีอยู่ออกจริง มันจะเหลืออยู่แค่นี้ อดีตเอาออก อนาคตเอาออก มันจะเหลือแค่นี้ ท่านจะมีอย่างนี้ไปจนกายแตกทำลาย จนถึงวินาทีที่เราตาย ความตายจะคือตอนนี้ของทุกคน
ตอนนี้พร้อมจะตายหรือยังครับ ไม่?
เพราะฉะนั้น เมื่อความตายมาถึง มันคือตอนนี้
ไม่ใช่อนาคต
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม

ธรรมบรรยายในหลักสูตร มัคคานุคา ก-ฮ
จัดโดยโรงพยาบาลสมุทรปราการ ร่วมกับชมรมกัลยาณธรร­ม
วันที่ 18-20 กรกฎาคม 2558

สามารถชมธรรมบรรยายคอร์สปฏิบัติธรรมนี้ ฉบับ­เต็มได้ที่
https://youtu.be/l3o2tYne1W8?list=PLUOUA1xCYlav51Mbp2muB0kq7Gk49-udl

(การ์ดคำสอน) เพราะไม่ได้หวังจะได้อะไรตอบแทน

ไม่ยึดติดในกันเเละกัน ทำดีทุกๆ อย่างให้กับทุกคน
เเต่ไม่เคยหวังผลว่าจะต้องได้อะไรตอบเเทน “เเม้เเต่ความรักตอบ”
ถ้าอย่างนี้ก็ไม่มีทางทุกข์ใช่ไหม

เเต่ถ้าคนที่เขาได้รับความรักความปรารถนาดีที่เรามอบให้
เเละเขาสัมผัสได้ถึงความดี เเล้วเขารักตอบหรือตอบเเทนความดีมา
ก็เป็นเรื่องดีที่ตัวผู้นั้นเองเขาจะเกิดกุศลจิตขึ้น
ส่วนเราก็เพียงอนุโมทนาที่เขาได้เข้าใจในความดี ก็เเค่นั้นเอง

ไม่ได้อยากได้อะไรอีกเเล้วเเม้เเต่ความดีหรือบุญ
เพราะนั่นก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์อยู่ดี

อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
เนื้อหาส่วนหนึ่งจากหนังสือ “ดูจิตหนึ่งพรรษา”

(การ์ดคำสอน) นิยามของคำว่า พากเพียร

นิยามของคำว่า พากเพียร - อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม

น้ำเน่าในคลองแสนแสบส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวน
หากเราเอาน้ำสะอาดเทลงไปหนึ่งแก้ว
คลองจะสะอาดขึ้นไหม ? … ไม่สะอาด
นี่คือคำตอบจากคนทั่วไป

จริงหรือที่ว่าคลองไม่สะอาด
จริงๆแล้ว มันสะอาดขึ้นหนึ่งแก้ว
เพียงแต่หนึ่งแก้วมันไม่พอ
ที่จะเห็นรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้เท่านั้นเอง

แต่หากเทน้ำสะอาดลงไปเป็นแก้วที่ ๒..๓..๔…
เรื่อยไปจนถึง ๑๐,๐๐๐..๑๐๐,๐๐๐..๑,๐๐๐,๐๐๐ แก้ว
จนมีวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าน้ำในคลองสะอาดขึ้นนะ
คลองเพิ่งจะสะอาดขึ้นตอนเทน้ำแก้วที่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ หรือ?

อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ส่วนหนึ่งจากหนังสือ “นิพพานชั่วพริบตา”

นิพพานชั่วพริบตา

ท่านสามารถหาอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ที่
– ร้านนายอินทร์ : http://goo.gl/oSFjEP
– ร้านซีเอ็ด : https://se-ed.com/s/bXrE
– ร้านสวนยินดี : http://suanyindee.lnwshop.com/p/11
– ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป
– หรืออ่านได้จากห้องสมุดทั่วไป