(การ์ดคำสอน) แค่ตั้งใจทำให้ดีที่สุด

ตัวอย่างหนึ่งที่เป็นเรื่องจริงอาจจะทำให้พวกเราได้เห็นความจริงว่าการหลงไปในคิดมันนำมาซึ่งทุกข์ฟรีจริงๆ ชีวิตของเราทุกข์ฟรีกันมโหฬารมหาศาลเลย การบรรบายครั้งหนึ่งที่ผมไปบรรยาย หลังจากบรรยายจบมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยกับผม แล้วก็เหมือนกับจะขอความเห็น
เธอบอกผมว่าเธอเป็นแม่แล้วก็มีลูก ทุกวันนี้เธอกังวลมากๆ เลย ลูกเธอไปทำงานทุกวัน แล้วก็ถ้าวันไหนลูกกลับประมาณซักทุ่มหนึ่งเธอก็รู้สึกสบายใจไม่มีปัญหาอะไร แต่วันไหนที่ลูกทำงานดึกลูกกลับมาประมาณเที่ยงคืน โอ้โหวันนั้นนี่คืนนั้นเธอจะนอนไม่หลับเลย
ผมก็เลยถามว่า เอาล่ะ ถ้างั้นเราลองมาคุยความจริงกันดู คุณบอกว่าถ้าลูกกลับตอนทุ่มหนึ่งคุณไม่ทุกข์เลย แต่ถ้าลูกกลับตอนเที่ยงคืนคุณก็จะอดรนทนทุรนทุรายกว่าจะถึงเที่ยงคืน ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานพูดจริงๆ ท่านก็รู้ว่าทุกข์ทรมาน เอ้ลูกเป็นอะไรไหม จะเกิดอุบัติเหตุไหมทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ ก็วนคิดอยู่อย่างนี้จนกระทั่งเที่ยงคืน เป๊ง! ลูกเปิดประตูแกร๊กเข้าบ้าน เฮ้อ… ค่อยยังชั่วหน่อย แล้วก็ขึ้นนอนได้
แปลว่าทุ่มหนึ่งที่คุณเริ่มไม่สบายใจจนถึงเที่ยงคืนลูกเปิดประตูแกร๊กเข้ามาคุณสบายใจ จากทุ่มหนึ่งถึงเที่ยงคืน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นถูกไหมครับ ไม่มี
แสดงว่าคุณทุกข์ฟรีสิงั้น
คุณแม่คนนั้นก็เริ่มงงๆ ทุกข์ฟรียังไงก็ฉันเป็นห่วงลูก ผมบอกว่าผมไม่ได้พูดเรื่องห่วง ผมพูดเรื่องทุกข์ มองเฉพาะมุมของทุกข์ก่อน พ่อแม่เป็นห่วงลูกทุกคนแหละผมรู้
เอาล่ะทุ่มหนึ่งถึงเที่ยงคืนคุณทุกข์ฟรีเพราะมันไม่เกิดอะไรขึ้น
แม่คนนั้นก็ยอมรับ “..เอาล่ะแล้วเกิดมันเกิดอะไรขึ้นกับลูกฉันล่ะ..”
เอาล่ะเราลองยกตัวอย่างดู สมมุติว่าคืนวันหนึ่ง จากหนึ่งทุ่ม สองทุ่ม สามทุ่ม คุณก็กระวนกระวายอยู่นั่นแหละลูกยังไม่กลับบ้าน พอถึงสี่ทุ่มมีโทรศัทพ์มาจากโรงพยาบาล บอกว่าลูกของคุณประสบอุบัติเหตุ ตายแล้วตอนนั้นคุณทุกข์มากเลย
ผมหยุดภาพไว้แค่นี้ก่อน นั่นแสดงว่าจากหนึ่งทุ่ม สองทุ่ม สามทุ่ม ก่อนที่จะสี่ทุ่มก่อนโรงพยาบาลโทรมามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นถูกไหม
“..ใช่..”
เพราะคุณยังไม่รู้เลย
“..ใช่..”
แสดงว่าคุณทุกข์ฟรีสิอย่างงั้น
“..ทุกข์ฟรีได้ไงสี่ทุ่มลูกฉันประสบอุบัติเหตุแล้วก็หมอโทรมาบอกโรงพยาบาลโทรมาบอกแล้ว..”
ไม่ แต่คุณรู้ตอนสี่ทุ่ม แสดงว่าหนึ่งทุ่มถึงก่อนสี่ทุ่มคุณทุกข์ฟรี คุณไม่ทุกข์ก็ได้ คุณค่อยทุกข์ตอนสี่ทุ่มถ้าอย่างงั้น
“..ใช่..”
งั้นคุณทุกข์ฟรี
“..งั้นฉันทุกข์ฟรี แต่ฉันเป็นห่วงลูกนี่..”
เอาล่ะเราไม่ได้พูดเรื่องห่วง จากนั้นคุณก็เดินทางไปโรงพยาบาล จากสี่ทุ่มถึงห้าทุ่มคุณอยู่บนรถแท็กซี่แล้วกัน ก็เดินทางไป ผมถามว่าขณะที่อยู่บนรถแท็กซี่สี่ทุ่มถึงห้าทุ่ม รถติดไฟแดงบ้างอะไรบ้างวิ่งไปบนถนน คุณทุกข์ไหม?
“..ทุกข์สิ ก็ลูกฉันนอนอยู่ในโรงพยาบาลแล้วจะเป็นตายยังไม่รู้เลยจะไม่ทุกข์ได้ยังไง..”
ผมถามว่าแล้วคุณทำอะไรได้ไหม
“..ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ฉันเป็นห่วงลูก..”
เอาล่ะพอห้าทุ่มคุณถึงโรงพยาบาลไปที่เคาน์เตอร์ พยาบาลบอกอยู่ห้องนั้นห้องนี่คุณก็รีบไปถึงหน้าห้อง อาจจะเป็นห้องผ่าตัดลูกคุณอยู่ในห้องผ่าตัด คุณก็เดินกระสับกะส่ายตั้งแต่ห้าทุ่ม เที่ยงคืน ตีหนึ่ง
ตีหนึ่งหมอเปิดประตูห้องผ่าตัดแกร็กออกมา เอาล่ะผมหยุดภาพไว้แค่นี้ก่อน จากห้าทุ่มถึงตีหนึ่งหมอกำลังผ่าตัดหรือว่ากำลังรักษาลูกของคุณอยู่ แต่จากห้าทุ่มถึงตีหนึ่งคุณทุกข์ไหม?
“..ทุกข์ เพราะฉันกระสับกระส่ายเดินไปตลอดเวลา..”
คุณทุกข์ฟรี เพราะมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย หรือว่าไม่เปลี่ยนอะไรเลย
คุณแม่คนนั้นก็เริ่มรู้สึก “..อืมใช่ ฉันทุกข์ฟรี..”
พอตีหนึ่งหมอเดินออกมาจากห้องแล้วก็บอกว่า ขอโทษนะ ลูกคุณเสียชีวิตแล้วเขามาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป แสดงว่าจากห้าทุ่มถึงตีหนึ่งก่อนที่หมอจะพูดว่าลูกคุณตายแล้ว คุณทุกข์ฟรี ซึ่งคุณไม่ทุกข์ก็ได้มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงผลเลย
ใช่ เพราะทุกข์ของคุณไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ไม่ทำอะไรให้เปลี่ยนแปลงหรือดีขึ้นเลย
ตลอดตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ทุกคนอยู่บนความคิด อยู่บนความกังวล อยู่บนการปรุงแต่งตลอดเวลา เราทุกข์กับทุกเรื่องทั้งที่เราเปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย
สิ่งที่คุณพยามจะทำ คุณสามารถทำได้โดยไม่ต้องทุกข์ก็ได้ แต่คุณลืมไป คุณคิดว่าความทุกข์เป็นของคู่เป็นของที่จะต้องคู่แล้วก็ติดตัวเราอยู่เสมอเราถึงจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ดี ถ้าเราเป็นห่วงใครเราต้องทุกข์ด้วยบวกกับความเป็นห่วงท่านสามารถเป็นห่วงโดยไม่ต้องทุกข์ก็ได้
สิ่งนี้แหละที่มนุษย์ไม่เข้าใจ เมื่อปฏิบัติธรรมไปแล้วสองสิ่งนี้มันจะแยกออกจากกัน ท่านสามารถดุใครโดยที่ไม่ต้องโกรธก็ได้ วันนี้เรานึกว่าถ้าใครดุคนนั้นต้องโกรธ เมื่อเราโกรธเราต้องด่า ไม่ใช่ เราสามารถดุ ด่า โดยไม่ต้องมีโกรธก็ได้ เพราะเราไม่ได้แสดงความปราถนาร้าย เราอาจจะดุว่าเพราะเขาทำงานผิด อาจจะดุว่าลูกๆ เพราะว่าเขาทำผิดเพื่อให้เขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การดุแบบนี้ไม่ใช่ดุเพราะว่าใช้อารมณ์ แต่เป็นการดุเพื่อเป้าหมายที่จะให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นในทางที่ถูกต้องเท่านั้นเอง
วันนี้เราใช้ชีวิตกันแบบทุกข์ฟรีมามหาศาล
เพราะเราไปคิดเอาเองว่า
อย่างนั้นจะเป็นอย่างนั้น แบบนี้จะเป็นแบบนี้

เราทำได้แค่ดีที่สุด ชีวิตของเราทำได้แค่นี้แหละ
ความกังวลเป็นสิ่งที่เราไปรอเอาไว้ข้างหน้าเอง
เพราะฉะนั้นต่อให้ท่านจะกังวลแค่ไหน

ท่านก็ทำได้แค่ทำเหตุให้ดีเท่านั้นเอง

ดังนั้นถ้าทำเหตุให้ดีอย่างมีปัญญา
ไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้
ทำเหตุให้ดีทุกขณะ ผลจะดีเอง
แต่ต่อให้ผลไม่ดีก็ทำเหตุให้ดีต่อไป
เรื่องมีแค่นี้ แล้วก็จะมีความสุขในทุกๆ วัน

อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
เนื้อหาส่วนหนึ่งจากรายการ “สุขทุกวัน 7 วัน 7 กูรู”
AMARIN TV (26 ธันวาคม 57)
https://www.youtube.com/watch?v=9GRb1fSrXQY

สามารถดูคลิปวีดีโอ อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม ในรายการนี้ทั้งหมดฉบับเต็มได้ที่นี่
https://www.youtube.com/watch?v=zoCWqbLPQxw&list=PLDzf9cyBwgxCNwRsjZgHTiJdfW0iznaQ5&index=14