คืนสู่ธรรมชาติ ณ ปัจจุบัน

จิตว่างแบบจบหลักสูตร
การดูกาย ดูหยาบ ๆ ก่อน ดูกายก็ดูว่ากายนี้ประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แล้วเรามักจะพูดว่า ดินน้ำลมไฟ ดินกลับสู่ดิน น้ำกลับสู่น้ำ ลมสู่ลม ไฟสู่ไฟ ถูกต้อง แต่ว่าไม่ใช่เวลาตายแล้ว อยู่ในปัจจุบันนี่แหละ ในปัจจุบัน ธาตุดินก็ลงดิน เป็นผักเป็นปลา เป็นผลไม้ เป็นอะไร เสร็จแล้วก็ไปกองอยู่ที่ดิน ไปเป็นดิน น้ำก็ไปเป็นน้ำ ลมไฟก็ไปเป็นลมเป็นไฟ เห็นไหม นี่ อยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่เวลาตายแล้ว พูดอย่างนั้นมันมักง่าย พูดว่าเวลาตายแล้ว พูดตามภาษาคนไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้ภาษาธรรมชาติ ไม่รู้จักกาย ไม่รู้จักตัวเอง
หลวงพ่อเอี้ยน วิโนทโก

จากธรรมเทศนาแก่อุบาสิกาใจพระรุ่น ๒
วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๘

สามารถศึกษาธรรมะข้อธรรมจาก หลวงพ่อเอี้ยน เพิ่มเติมได้ที่
http://www.santibunpot.com/

ยังไงก็ปฏิบัติธรรมได้อยู่แล้ว

ยังไงก็ปฏิบัติธรรมได้อยู่แล้ว
เมื่อเราบวชเข้ามา เป็นพระก็ดี เป็นชี เป็นอุบาสิกาก็ดี หรือว่าไม่ได้บวช เขาก็ไม่ได้บังคับว่าไม่บวชปฏิบัติไม่ได้ ไม่ใช่เลย เข้าใจผิด ที่ปฏิบัติไม่ได้เพราะไม่สนใจ
…เอาแต่ทำมาหากินอย่างเดียว ไม่มีเวลาเข้าวัด ไม่มีเวลาต้องทำมาหากิน… เออ ตายไปเสียเถอะ
หลวงพ่อเอี้ยน วิโนทโก

ธรรมเทศนาแก่อุบาสิกาใจพระ รุ่น ๒
http://www.santibunpot.com/

ไม่ใช่เป็นของหลวงพ่อแล้ว

จิตว่างแบบจบหลักสูตร
เดี๋ยวนี้เศรษฐีหายาก เศรษฐีหายาก คนที่มาสร้างวัดมาช่วยเหลือหลวงพ่อนี่ก็มีคุณอะไรต่ออะไรหลายคน เขามาช่วยกัน ที่เขาทำ ๆ เสนาสนะ ที่ปรับปรุงที่นั่ง ที่หลังคงหลังคา ห้องน้ำ ห้องส้วม นี่ของเศรษฐีทั้งนั้น ของเศรษฐี หลวงพ่อไม่มีปัญญาทำมากอย่างนั้นหรอก เพราะหลวงพ่อจะสร้างคน สร้างคนให้มันทำยังไงให้หมดความทุกข์ หลวงพ่อก็เลยมาสร้างวัดนี้ เพื่อให้คนได้มาศึกษา ได้มาปฏิบัติให้เลิกความเห็นแก่ตัว เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ หลวงพ่อทำทุกสิ่งทุกอย่าง คิดถึงผู้อื่น คิดถึงผู้อื่นช่วยเหลือตัวเองไปพลางช่วยเหลือผู้อื่นไปพลาง ทำอยู่อย่างนี้ จนถึงบัดนี้ ฉะนั้นเวลาทั้งหมดนี้ที่เหลือถวายให้พระพุทธเจ้า ถวายให้พระธรรม ถวายให้พระอริยสงฆ์ …ไม่ใช่เป็นของหลวงพ่อแล้ว
หลวงพ่อเอี้ยน วิโนทโก

จากธรรมเทศนาแก่อุบาสิกาใจพระ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๘
สามารถศึกษาธรรมะข้อธรรมจาก หลวงพ่อเอี้ยน เพิ่มเติมได้ที่
http://www.santibunpot.com/

ตามหาพ่อกับแม่ให้เจอ

ตามหาพ่อกับแม่ให้เจอ
ถ้าถามว่าเราบวชกันมาทำไม บวชเพื่อที่จะมารู้จักพ่อรู้จักแม่ รู้จักพี่ พระพุทธเจ้าคือพ่อ พระธรรมคือแม่ พระอริยสงฆ์คือพี่ เราบวชเข้ามาตามหาพ่อ ตามหาแม่ ตามหาพี่ ใช่ไหม พ่อของเราก็คือพระพุทธเจ้า พ่อที่เกิดทางเนื้อหนังก็อย่างหนึ่ง แม่ที่เกิดทางเนื้อหนังก็อย่างหนึ่ง
ไอ้คนโง่ ๆ เขาว่าอย่าปฏิบัติธรรมเลย ธรรมะกินไม่ได้ ไอ้ที่กินเข้าไป ที่อยู่ในบาตรตรงนี้น่ะ ธรรมชาติทั้งนั้น นั่นน่ะคือแม่ของเรา เรากินแม่ของเราคือกินธรรมชาติ เรากินธรรมชาติ เราดื่มธรรมชาติ เราหายใจธรรมชาติ เราเอาเสื้อผ้าที่เอามาจากธรรมชาติ มาเป็นเสื้อผ้า เราอยู่กับธรรมชาติ ที่อยู่ที่อาศัยก็เป็นธรรมชาติ ทีนี้เราต้องคิดว่าธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือธรรมะ แม่ของเราคือธรรมชาติ ที่สุดของธรรมชาติ คือความสงบเย็น ถ้าจิตของเราเข้าถึงความสงบเย็น นั่นคือเราเข้าถึงแม่แล้ว
แม่นี้ถ้าใครค้นพบก็จะสงบเย็น มีจิตที่สงบเย็น จิตที่สงบเย็นนั้นไม่เกิด คือไม่เกิดความรู้สึกว่าตัวกู ความรู้สึกว่าตัวกูนั่นมันกิเลสตัณหาทั้งนั้น ความรู้สึกว่าตัวกู ความรู้สึกว่าของกู อันนั้นมันโมหะทั้งนั้นเลย แม่นั้นคือสงบเย็น เราบวชเข้ามาก็ดี เราไม่บวชก็ดี เราต้องตามหาแม่ของเราให้พบ นี่เราตามหาแต่กิเลสตัณหาทั้งนั้น
เพราะเราไม่มีแม่ เพราะเราไม่มีพ่อ เพราะเราไม่มีพี่ มันเลยลอยเท้งเต้งอยู่ในมหาสมุทรแห่งความทุกข์อย่างนี้
หลวงพ่อเอี้ยน วิโนทโก (พระวิปัสสนาจารย์)
ธรรมบรรยายแก่อุบาสิกาใจพระ ๑๒ ส.ค.๕๘

สามารถศึกษาธรรมะข้อธรรมจาก หลวงพ่อเอี้ยน เพิ่มเติมได้ที่
http://www.santibunpot.com/

(การ์ดคำสอน) เพราะตอนนี้คือโอกาสทองในหมู่ดาว

“….พระพุทธเจ้าเองก็สั่งสมบารมีมาอย่างมากมาย ภายใต้ข้อจำกัดที่เยอะมาก กว่าที่ท่านจะตัดสินใจสละทุกอย่างแล้วก็หันหลัง แล้วก็เดินทางออกบวช โดยไม่ฟังคำทัดทานจากใครอีก เมื่อท่านรู้อย่างเต็มเปี่ยมแล้วว่าหนทางแห่งการพ้นทุกข์ น่าจะอยู่ที่ไหนสักที่นึง ซึ่งไม่ใช่ที่ๆ เราอยู่ เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์
เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็ยังมีช่วงเวลาที่ต้องสั่งสม แต่ได้สร้างสัมมาทิฏฐิเอาไว้เป็นเบื้องหน้า เมื่อวันนั้นมาถึง แต่ละคนๆ ก็จะรู้เอง วันนี้เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ยังอยู่ในเพศนี้ก็ทำสิ่งที่ดีที่สุดในแต่ละขณะ ไม่มีอะไร เมื่อเราทำสิ่งที่ดีที่สุดในแต่ละขณะได้ ธรรมะก็จะอยู่ตรงนั้นเอง วันที่เรากลับไปเราก็ทำหน้าที่ เป็นแฟน เป็นสามี เป็นภรรยา ก็ทำหน้าที่ตรงนั้นอย่างดีที่สุด เมื่อถึงวันนึงก็จะได้ไม่ต้องโหยหา หวนหา เพราะในแต่ละขณะเราได้ทำอย่างดีที่สุดไปแล้ว เราคงเคยได้ยินคนที่บอกว่า ถ้ารู้อย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ วันนั้นฉันจะทำอย่างนั้น วันนั้นฉันจะทำอย่างนี้ แล้วคนที่กำลังจะตายอาจจะได้พบความจริงอะไรบางอย่าง ก็จะรู้สึกว่า ถ้าฉันรู้อย่างนี้ วันนั้นฉันไม่น่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปเลย เพราะสุดท้ายความตายก็มาถึงฉันจนได้ แต่ถ้าเราทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดในแต่ละขณะคำนี้จะไม่เกิด เพราะว่าไม่รู้ว่าจะถอยหลังไปทำไม ต่อให้ถอยหลังไปก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะที่ผ่านมาทำดีที่สุดแล้ว
การปฏิบัติก็จะมีปรากฏการณ์เกิดขึ้นในแต่ละคน เป็นทั้งผลและเป็นทั้งเหตุ จากการเจริญมรรคจากการภาวนา ก็จะเกิดเป็นผล เกิดเป็นนิโรธบ้าง เกิดเป็นปัญญาบ้าง สิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเหตุ ที่จะทำให้เห็น แล้วก็เข้าใจ แล้วก็เดินทางต่อไป จุดเปลี่ยนของแต่ละคนในหนึ่งชีวิต บางครั้งมันเล็กจนกระทั่งไม่น่าเชื่อ แต่ละคนหากวันข้างหน้า อีก ๑๐ ปีข้างหน้าย้อนกลับมานึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านมา อาจจะในช่วงบวชก็ดี ก่อนบวชก็ดี หรืออะไรก็ดี นึกแล้วอาจจะต้องนั่งยิ้ม ยิ้มด้วยความหวาดเสียวนิดๆ ว่าถ้าเหตุการณ์นั้นมันเกิดไม่ใช่อย่างนั้นไปนิดเดียวแค่นั้นเอง วันนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย
เมื่อสิ่งนั้นเป็นปัจจัย สิ่งนี้เกิดขึ้นก็ได้ทำอย่างดีที่สุด ก็ไม่ละทิ้งโอกาสที่ได้เพียงชั่วเวลาหนึ่ง ด้วยเหตุปัจจัยก็ได้ส่งผลให้เขาเข้าใจความจริง ก็หวังว่าจะเป็นแรงผลักดัน เป็น drive ที่ทำให้เห็นแล้วก็เกิดความไม่ประมาทในการที่จะดำเนินชีวิต สั่งสมทุกอย่างไว้เพื่อวันข้างหน้าเมื่อมีโอกาสอีก แต่โอกาสไม่ได้อยู่ที่ตรงต้องเป็นอย่างนี้นะ โอกาสอยู่ในทุกขณะจิต ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ตรงนี้หรือไม่ ถ้าจะมองว่าวันนี้เป็นโอกาสหนึ่งที่ได้เข้ามาอยู่ในยิมซึ่งเต็มไปด้วยความพร้อม การฝึกทั้งพละกำลังในโรงยิมเป็นไปได้ง่ายเพราะมีอุปกรณ์ มีการควบคุมที่ค่อนข้างดีตามรูปแบบของนักบวช แต่ออกไปการสร้างกำลังก็ต้องใช้ลักษณะของ street fighter แล้วจับกังที่ต้องขนดิน ขนหิน ขนทราย ขนแบกข้าวสาร มีกำลังไม่น้อยกว่าคนที่วิ่งแล้วก็ทำฟิตเนสอยู่ในยิม แถมยังได้ประสบการณ์ที่แท้จริง เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง พ้นไปจากรูปแบบ เป็น street fighter สิ่งที่สั่งสมมาไว้ในยิมก็จะถูกนำออกมาใช้ จะเข้าใจโลกตามความเป็นจริง อยู่ตรงไหนก็ทำอะไรได้ทั้งนั้น
เราไม่ได้เกิดมาชาตินี้เพื่อมาเป็นทาส เราเกิดมาชาตินี้เพื่อมาเป็นอิสระ เราเป็นทาสกันมานาน ไม่มีชาติอื่นให้แก้ตัวแล้ว ไม่มีเหตุปัจจัยในชาติไหน ที่เข้ามารวมตัวกันพร้อมแบบนี้อีกแล้ว ถ้าเป็นวิถีการโคจรของดวงดาว นี่อาจจะเป็นการเรียงตัวกันของดวงดาวทุกดวงในสุริยจักรวาล หลังจากนี้ต่อไป แม้อีกวินาทีเดียว การเคลื่อนตัวของแต่ละดวงก็จะแยกทางกันออกไป แล้วโอกาสที่มันจะกลับมารวมกันเป็นเส้นเดียวแบบนี้อีก ไม่มีใครบอกได้อีกเลย มันอาจจะนานมาก ก็อย่าให้การเรียงตัวของดวงดาวในชาตินี้ ผ่านไปโดยเราไม่รู้เลย เราไม่ได้เกิดมาเพื่อมาเวียนว่ายตายเกิดต่อ แต่เราเกิดมาเพื่อหลุดพ้น เราได้พบทางแล้ว
เดินออกไปให้ได้…”
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
โอวาทอุบาสิกาใจพระ (๖ กันยายน ๒๕๕๗)