เราทุกคนถูกโลกหลอก

เมื่อ ๑,๐๐๐ ปีก่อน มนุษย์บนโลกไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับโลกนี้ ทุกคนมีความเชื่อว่าโลกใบนี้แบน ไม่ว่าจะมีการพิสูจน์สักเท่าไหร่ ผลก็ออกมาว่าโลกใบนี้แบน ดังนั้นทุกคนจึง เชื่อว่าโลกนี้แบน
ต่อมาถัดจากยุคนั้นมาหน่อย มีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งเริ่มสังเกตมากขึ้นจนเริ่มเห็นความจริงว่าโลกที่เราอยู่นี้ไม่แบน มันน่าจะกลม แล้วจึงนำความคิดดังกล่าวนำไปประกาศบอกคนทั่วไปให้เชื่อตาม โดยนำหลักการและเหตุผลที่ตนพบไปอธิบาย ผู้คนบางส่วนเริ่มเชื่อตาม เห็นคล้อยด้วย บางส่วนยังคงไม่เชื่อและเอาเหตุผลสารพัดของตัวเองออกมาคัดง้าง แต่ถึงกระนั้นนักวิทยาศาสตร์คนนั้นก็ยังคงอยู่บนความคิด ความเชื่อของตนเองอยู่นั่นเอง ถึงจะมีคนเชื่อตามแค่ไหน นั่นก็คือเชื่อตามๆ กันตามเหตุผลเท่านั้น
ถึงตรงนี้เราจะเห็นความจริงได้อย่างหนึ่งแน่ๆ คือ ในวันนั้นมนุษย์ไม่ว่าจะฝ่ายไหน อยู่บนความเชื่อของตน ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะเป็นการได้ยินจากผู้ที่บอกว่าโลกนี้แบน หรือจากผู้ที่เสนอเหตุผลบอกว่าโลกนี้กลม ความคิดความเชื่อนี้แตกต่างกัน ทั้งๆ ที่ยืนอยู่บนโลกๆ เดียวกัน เห็นโลกและรู้สึกต่อโลกรับผลจากโลกเท่ากันทุกอย่าง เพราะอะไร เพราะความคิดของคนทั้งหมดเป็นตัวตัดสินทุกอย่างจากประสบการณ์ (เท่าหางอึ่ง) ของแต่ละคนเท่านั้นเอง
ตราบใดที่เราไม่เคยเห็นภาพของโลกจากยานอวกาศหรือภาพถ่ายดาวเทียมที่ยืนยัน เราก็ยังคงถกเถียงหาเหตุ หาผลมาคัดง้างสร้างความชอบธรรมในความคิดของตนไม่มีวันสิ้นสุด แต่ทันทีที่เห็นประจักษ์แจ้ง เป็นอันจบ หมดคำพูด แล้วถ้ามีคนเถียงล่ะ ท่านจะอธิบายสักพักเมื่อไม่เกิดประโยชน์คงจะเลิกเพราะเหนื่อยเปล่า แถมด้วยความรู้สึกดูแคลนในคนที่ไม่รู้แถมยังมาตั้งตัวเป็นผู้รู้หาเหตุผลมาเถียง
วันนี้โลกที่เราอาศัยอยู่คือ ขันธโลก (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่เรารู้สึกมาตลอดว่า นี่ของเรา นี่เป็นเรา นี่เป็นอัตตาของเรา คิดยังไงก็เป็นของเรา เป็นเราอยู่นั่นเอง ไม่มีทางไม่ใช่เราเลย พอเข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรม ได้ยินจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เราเข้าใจผิด นี่ไม่ใช่ของเรา นี่ไม่เป็นเรา นี่ไม่ใช่อัตตาของเรา มันเป็นธรรมชาติที่ว่างจากตัวตน ดำเนินอยู่ด้วยเหตุปัจจัยอันหลากหลาย จนไปสร้างความรู้สึกผูกพันยึดถือขึ้นมา เหนียวแน่นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความไม่รู้ จึงก่อให้เกิดเป็นทุกข์ด้วยการไปสร้างเหตุเกิดเป็นผลสืบเนื่องและเป็นทุกข์ในแต่ละขณะ ทั้งที่เกิดไปแล้วจบไปแล้ว ส่วนความรู้สึกสุขที่เกิดขึ้น ก็เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดวูบวาบ แว้บๆ แล้วหายไป สร้างความหลงไหลตราตรึงทั้งๆ ที่มันดับไปแล้วเช่นกัน สร้างความรู้สึกอยากจะแสวงหาสิ่งนั้นให้ได้มาอีก นั่นตามมาด้วยทุกข์เพราะตัณหาความอยากบีบคั้น แต่หาได้มีผู้ใดมองมันเห็นได้ ด้วยปัญญาอันทุพลภาพดั่งเช่นคนติดยาเสพติด หาได้มองเห็นความทุกข์บีบคั้นของความอยากที่ต้องแสวงหายามาเสพ ยอมทำทุกอย่างไม่ว่าจะผิดหรือไม่ เพียงเพื่อตอบสนองความอยากนั้น แน่ล่ะเราอาจจะคิดเลี่ยงๆ ไปว่า จะเทียบเรากับคนติดยาได้อย่างไร เราไม่ได้ทำขนาดนั้น ดีกรีความทุรนทุรายอาจจะต่างกันบ้างแต่เรื่องราวมิได้ต่างกันเลย แล้วหากเรื่องๆ นั้นเริ่มบีบคั้นจิตใจมากขึ้นเพราะอำนาจของความอยาก แน่ใจหรือว่าจะประคองตนไม่ให้ทำผิดได้
วันนี้เราซึ่งเห็นความจริงกันหมดแล้วว่าโลกนี้ไม่แบนแน่ และสัณฐานมันก็กลมๆ รีๆ หมุนติ้วรอบตัวเองและรอบดวงอาทิตย์ พวกเราลองย้อนเวลากลับไปอยู่ในโลกที่คนถกเถียงกันเรื่องโลกแบนโลกกลมซิ ท่านลองไปอธิบายให้พวกเขาฟังว่าท่านเห็นหมดแล้ว ดูซิว่าเขาจะเชื่อท่านไหม คนทั้งหมดจะมองท่านเป็นเพียงหนึ่งในนั้นที่อยู่ภายใต้เหตุผลความเห็นต่างเท่านั้น ทั้งๆ ที่ท่านรู้และเห็นแจ้งทั้งหมดแล้ว
เข้าใจรึยังว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลำบากเพียงใด ในวันที่ได้เห็นความจริงแล้ว พ้นไปจากความคิดพ้นไปจากความเชื่อเพราะได้รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว แต่มนุษย์ทั้งหมดยังคงอยู่ในคิดและความเชื่อของตนเอง ในความยากที่ยิ่งยวดนั้น พระองค์ยังสามารถหาทางเพื่อให้มนุษย์ผู้เบาปัญญาได้มีโอกาสได้พบความจริงอย่างที่พระองค์ได้เห็นต่อโลกนี้ (รวมตั้งแต่ขันธโลกจนสิ่งทั้วปวงในโลกในจักรวาล) ด้วยเส้นทางเดินทางที่พระองค์บอกคือ อริยมรรคมีองค์ ๘
พระองค์ท่านจึงเป็นมหาบุรุษบุคคลแรกที่พ้นไปจากความคิด ความเชื่อที่ไร้สาระแก่นสาร ไม่มัวเสียเวลาต้องเถียงกับใครๆ (ที่ยังหลงเพียงเอาเหตุผลที่อยู่บนความคิดความเชื่อของตัวตน) แต่มุ่งประกาศสัจธรรมความจริงและชี้ทางออกให้มนุษย์ได้พบความจริง พ้นไปจากความเชื่อ เมื่อใครเห็นตามนั้น แบบที่ไม่ใช่คิดตามหรือคิดให้เหมือน แต่กลับได้เห็นได้ประจักษ์ในสิ่งเดียวกัน พ้นไปจากความเห็นผิดทั้งปวง พ้นไปจากความคิด ความเชื่อ หมดคำพูด
แล้วสิ่งที่พระองค์เห็นประจักษ์แล้วและต้องการจะบอกพวกเรานั้นคืออะไร?
(กายและใจนี้ รวมไปถึงจิตด้วย) นี่ไม่ใช่ของเรา นี่ไม่ใช่เรา นี่ไม่ใช่อัตตาของเรา ว่างจากตัวตน เมื่อวางสิ่งที่ถูกยึดถือทั้งหมด นั่นล่ะที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ
??!!??!?!! อะไรกัน เป็นไปได้ยังไง
ใช่เพราะเรากำลังคิดกันอยู่ต่อไป….ภายใต้ประสบการณ์หางอึ่งของพวกเราเอง จนกว่าจะมีใครสักคนในพวกเรา เจริญมรรคจนพบความจริงแล้วเขาจะก้มลงกราบสำนึกในพระองค์ท่านแล้วหันมาบอกทุกๆ คนว่า “เราทุกคนถูกหลอก!”
เราทุกคนถูกโลกหลอก
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ข้อคิดมุมมอง เพื่อปัญญา